Sunday, September 20, 2015

"ภูสอยดาว" ป่าสน ลมหมอก ดอกหงอนนาค


 

     การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของผม กับการพิชิตภูสอยดาว (ครั้งแรก มีเวลาแค่ 1 คืนบนนั้น) รู้สึกว่ายังไม่สะใจ ครั้งนี้เลยต้องขอเพิ่ม เป็น 2 คืนบนลานสน จะได้เดินถ่ายรูป สัมผัสกับบรรยากาศที่เหมือนดั่งสวรรค์บนดิน ให้สาสมแก่ใจ

     ครั้งนี้ผมมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยรวมตัวผมเองก็ 5 คน (หลอกเขามา ฮิฮิ) เราเดินทางโดยรถโดยสาร (นครชัยแอร์) ไปลงที่ บขส. ใหม่ พิษณุโลก  >>  ต่อด้วยเหมารถ (จะมีรถแท็กซี่ ที่ บขส. เหมาะไปกลับ ระหว่าง บขส. - อช.ภูสอยดาว สนนราคาก็ 3,000 บาท) แต่ด้วยจำนวนคนของกลุ่มผม รวมกับข้าวของสัมภาระ และ เตนท์อีก 2 หลัง ทำให้ เหมาะรถแท็กซี่คันเดียวไม่น่าจะไปไหว

      ถึง บขส. ก็เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันกันก่อน จากนั้นก็มาตกลงว่า รถแท็กซี่ไม่น่าจะไปไหว งั้นเราต้องหารถกระบะ ก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเด๋วนั้นเลย คือ Google สิครับ หาเบอร์โทรศัพท์รถกระบะสำหรับเหมาไป อช.ภูสอยดาว (ขณะนั้นเวลาประมาณตี 4 กว่า ๆ ) ไล่โทรแบบไม่เกรงใจชาวบ้าน ไม่รู้เขาหลับอยู่หรือเปล่า ฮ่า ๆ ๆ  แต่ก็มีรับสายแล้วก็ได้ รถกระบะ 4 ประตูมา 1 คันในราคาเหมา ไปกลับ 4,500 บาท ก็ตกลงแล้วก็ ออกเดินทางกัน !!!



ติดตามพวกเราได้ที่ : https://www.facebook.com/PaiiPaLa

     รถออกจาก บขส. ก็เกือบ ๆ ตี 5 นั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงเราก็ถึงตลาดชาติตระการ แวะกินข้าวเช้า ซื้ออาหารน้ำดื่มอีกเล็กน้อย (ส่วนใหญ่เตรียมมาแล้ว ถึงต้องหารถกระบะเนี่ย) เสร็จแล้วก็เดินทางต่อ ไปยัง อช.ภูสอยดาว ถึงเวลาประมาณ 9 โมงกว่า ๆ ได้



     จากนั้นก็ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่ เรื่องอุปกรณ์ที่จะเช่ากับเจ้าหน้าที่ เช่น เตนท์ ถุงนอน แผ่นรองนอน ลูกหาบ ติดต่อเจ้าหน้าที่เสร็จเราจะได้หมายเลขประจำกลุ่ม และใบเครดิต (ใบเครดิตสำหรับยืมของใช้ต่าง ๆ ที่อยู่ด้านบน พวกขันน้ำ ถังน้ำ เตาไฟ กาต้มน้ำ ฯลฯ) จากนั้นกลุ่มผมก็ทำการเตรียมของว่าส่วนไหนให้ลูกหาบ ส่วนไหนจะแบกขึ้นไปเอง (รวม ๆ แล้วให้ลูกหาบไป 76 กิโล) ราคาลูกหาบ กิโลกรัมละ 35 บาทครับ

     อ้อครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกตรงที่ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่ จะอยู่ที่ทำการอุทยาน ก่อนจะถึงจุดเริ่มเดิน (น้ำตกภูสอยดาว) ประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อทำการเตรียมของเรียบร้อย ก็นั่งรถอีแต๊ก อีแต๋น อะไรสักอย่างของทางเจ้าหน้าที่เข้าไปที่จุดเริ่มเดิน





     ตรงจุดนี้ จะมีร้านอาหาร แล้วร้านค้าสวัสดิการ กลุ่มผมก็สั่งทำข้าวห่อไว้สำหรับกินเป็นมื้อเที่ยงระหว่างทาง ไว้ที่จุดนี้ จากนั้นก็เข้าห้องน้ำ เดินถ่ายรูป เมื่อพร้อมแล้วก็ ออกเดินกันเลย !!!

     อากาศในวันที่เดินขึ้นค่อนข้างดีทีเดียวครับ ถึงจะมีเมฆมาก แต่ฝนก็ยังไม่ตก (ในใจก็ภาวนาว่าฝนอย่าได้ตกขณะเดินขึ้นเลย จะค่อย ๆ เดิน ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย ๆ) ระยะทางที่เดินตามป้ายระบุว่า 6.5 กิโลเมตร โดยปกติจะใช้เวลาในการเดินประมาณ 5 ชั่วโมง ทางเดินในช่วงแรก ๆ จะยังไม่ชันมากนัก เป็นการเดินตามลำธาร น้ำตกไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางก็จะมีดอกไม้ เห็ด ต้นไม้ สวย ๆ ให้ถ่ายรูปเล่นกันเพลิน ๆ











     ในช่วงแรก ๆ เดินกันได้ค่อนข้างเร็ว แปปเดียวเราก็เดินมา 1.5 กิโลเมตรซะแล้ว แต่ยังไม่ถึงเนินส่งญาติเลย ก็เริ่มมีเสียงบ่นเหนื่อยเมื่อยล้า กันออกมาบ้างตามปกติ ช่วงต่อจากนี้ไป ทางจะเริ่มชั่นมากขึ้นแล้วสินะ


      

     หลังจากกลุ่มผมเดินผ่านเนินส่งญาติมาได้ไม่ไกลนัก สภาพอากาศที่ผมไม่อยากให้เป็นก็เกิดขึ้น เมฆฝนมืดทมิฬลอยเข้ามาปกคลุมแล้วสายฝนก็เทลงมา >.<" ทุกคนต่างพากันรีบเอาเสื้อกันฝนที่เตรียมกันมา ออกมาใส่แล้วก็เดินต่อ แล้วกล้องก็ต้องทำการเก็บลงกระเป๋า ทำให้ไม่ได้รูปขณะเดินขึ้นเลย



     ภาพตัดมาก็ถึงลานสนซะแล้ว ฝนเล่นตกตลอดทางที่เดินขึ้นเลย (มีหยุดประมาณ 10 นาที ซึ่งเราใช้เวลานั้นพักกินข้าวกลางวันกัน) ทางเดินเมื่อฝนตกนั้นเรียกได้ว่าลำบากมากขึ้น ส่วนที่ลื่นอยู่แล้ว ก็ลื่นมากขึ้นกว่าเดิม ทางที่ควรจะได้เดินสะดวกหน่อย ก็มีน้ำไหลมาเหมือนเดินอยู่ในลำธารเลยทีเดียว แต่พวกเราทุกคนก็ผ่านมันมาได้ (วิวที่เนินมรณะสวยมาก เต็มไปด้วยหมอกแต่ว่าไม่สามารถเอากล้องออกมาถ่ายได้ เสียดายจริง ๆ)


     ถึงลานสนแล้วเราก็ต้องเดินไปกันต่อยังที่ทำการเจ้าหน้าที่เพื่อรับของจากลูกหาบ แล้วก็ติดต่อยืมสิ่งของอำนวยความสะดวกพวกถังน้ำและขั้นน้ำ (โดยเจ้าหน้าที่จะทำการเขียนจำนวนที่เรายืมลงในใบเครดิต แล้วเราต้องไปชำระเงินที่ทำการด้านล่างตอนเราลงไปแล้ว) เมื่อได้ของจากลูกหาบแล้ว ก็เดินหาทำเลกางเตนท์กันเลย



     เมื่อกางเตนท์เรียบร้อยแล้ว เพื่อนผมส่วนนึงก็เหนื่อยอยากพักผ่อน ผมก็เลยให้ทำการหุงข้าวรอซะเลย ส่วนตัวผมออกไปเดินชมบรรยากาศ นั่งดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าสักหน่อย







     จากจุดที่เป็นป้ายบอกจุดชมพระอาทิตย์อัสดง ผมเดินไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนมุมในการชมบรรยากาศ ไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นมุมของลานสน ด้านหลังเป็นทิวเขาสลับซับซ้อนกันสวยงามเลยทีเดียว




     สภาพอากาศบนลานสนนี้คาดเดาได้ยาก ที่จุดชมวิวนั้น จะมีผมอกลอยมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย หรือเย็น นั่ง 5 นาทีภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้าจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้นไม้บริเวณหน้าผานี้ค่อนข้างชุ่มชื้นตลอดเวลา ตามลำต้นจะมีพืชเขียว ๆ ขึ้นปกคลุมลำต้นผมว่าก็สวยดีนะ ผมเดินถ่ายรูปเพลิน ๆ หันหลังกลับจะเดินไปยังจุดกลางเตนท์ โอ้ววว หมอกปกคลุมซะหนาเลย ไม่รู้ฝนจะลงอีกไหม กลับไปกินข้าวดีกว่า








     หลังจากกินข้าวเสร็จ ช่วงหัวค่ำท้องฟ้าก็เปิดทำให้มองเห็นดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด แต่ก็เห็นอยู่ได้ไม่นาน หยิบกล้องออกมาเดินหามุมถ่ายดาว ยังไม่ทันได้ภาพดั่งใจหวัง หมอกหนา ๆ ก็เริ่มลอยมาปกคลุมท้องฟ้าอีกครั้ง ผมก็เลยเก็บกล้องกลับเตนท์ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็เตรียมเข้านอน





     เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าตรู่ เปิดเตนท์ออกมา โอ้วโหวว หมอกลงหนาจัดมาก มองไม่เห็นทางเลยทีเดียว อากาศก็เย็นสบายเอามาก ๆ เลย เลยตัดสินใจ ปิดเตนท์แล้วเอาตัวซุกเข้าไปในถุงนอนงีบต่ออีกสักตื่น ฮ่า ๆ ๆ แล้วก็ตื่นขึ้นมาอีกที ฟ้าเริ่มเปิด วันนี้เรามีโปรแกรมเดินลงไปเที่ยวน้ำตกสายทิพย์กันในช่วงเช้า ระหว่างที่รอข้าวสุกผมก็เดินถ่ายรูปรอ





     หลังจากกินข้าวกันในตอนเช้าเสร็จก็เตรียมตัวสำหรับเดินลงไปน้ำตก ทางเดินลงจะอยู่ระหว่างทางที่ขึ้นมาถึงลานสน กับจุดกางเตนท์ครับ เดินไปไม่ไกล แต่ทางลงนั้นค่อนข้างชันและลื่นพอสมควร ผมก็เดินลงไปเรื่อย ๆ มีลื่นมีล้มเป็นระยะ ๆ น้ำตกมีอยู่หลายชั้นครับ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขามีการนับชั้นกันไหม แต่ก็เดินลงไปเรื่อย ๆ จนไม่มีทางจะเดินต่อ ก็หยุดแล้วเดินกลับขึ้นมา เพื่อน ๆ ที่ไปด้วยบางคนก็หยุดอยู่ชั้น 2 ชั้น 3 กัน







     ขึ้นจากน้ำตกมาก็มาถึงเตนท์ประมาณช่วงบ่ายโมง พวกเราก็พักกินข้าวกลางวันกัน อากาศตอนกลางวันก็เย็นสบายดีครับ แต่สภาพอากาศก็อย่างที่บอกไปครับ แปป ๆ ก็ฟ้าสว่างสดใส แปป ๆ ก็หมอกลอยมาปกคลุม อีกสักพักก็เมฆฝนลอยมา เอาแน่เอานอนไม่ได้จริง ๆ หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ผมก็เดินสำรวจหามุมถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ครับ เดินไปทางจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินนั้นแหล่ะครับ จุดนี้มีม้านั่งให้นั่งชมวิว นั่งชิล ๆ ไปเรื่อย ๆ วิวจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ให้เราได้ถ่ายภาพครับ







     พอถึงเวลาแดดร่ม ลมตกแล้ว ก็เดินกลับมาเตนท์ตามเพื่อน ๆ ไปเดินเล่นบ้าง จุดต่อไปหรือหลักเขตแดน ไทย - ลาว ครับ จุดนี้จะอยู่ด้านหลังของบ้านเจ้าหน้าที่ครับ เดินไปไม่ไกลมากเท่าไหร่ แต่เดินเล่นได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ก็ต้องเก็บกล้องอดได้ภาพอีกตามระเบียบ (จากจุดหลักเขตแดนเดินต่อไปเรื่อย ๆ ทางฝั่งลาวจะมีลานกว้าง จุดนั้นมีสัญญาณโทรศัพท์น่าจะของ AIS ครับ) ส่วนกลุ่มผม ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ ละใส่ชุดกันฝนแล้วก็เดินลุยฝนกันไปเรื่อย ๆ เดินอ้อมในป่าสน ไปทะลุจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก แล้วก็วกกลับมาจุดกางเตนท์ ฝนตกพร้อมกับลมแรงมาก จนถึงเตนท์ฝนก็ซา ก็ได้เวลากินข้าวเย็นกัน



     คืนที่สองนี้หมอกลงหนามาก ตั้งใจว่าจะมีโอกาสได้แก้ตัวถ่ายดาวสวย ๆ สักหน่อยก็เลยอดไป เลยนั่งคุยกับเพื่อน ๆ จนเตนท์รอบ ๆ ข้างปิดไฟดับมืดสนิทกันหมด ฝนก็เริ่มโปรยปราย อากาศก็เย็นลง จากนั้นก็เลยเข้านอนกัน ตื่นเช้ามาก็ทำการเก็บข้าวของส่วนตัว เตนท์ นำอุปกรณ์ที่ยืมเจ้าหน้าที่ไปคืน นำน้ำดื่มและอาหารที่เหลืออยู่ให้เตนท์ข้าง ๆ บ้างเจ้าหน้าที่บ้าง ลูกหาบบ้าง เพราะไม่อยากแบกลงไปแล้ว ฮ่า ๆ เมื่อเก็บของทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยก็นำของไปกองรวมที่บ้านเจ้าหน้าที่ทำการชั่งน้ำหนักให้ลูกหาบ หาบลงด้านล่าง แล้วก็เริ่มเดิน ขอลงจะใช้เวลาเร็วกว่าตอนขึ้นมาพอสมควรประมาณ 3 ชั่วโมงนิด ๆ (วิวช่วงเนินมรณะที่ตอนขึ้นมาฝนตกไม่ได้ถ่ายเราก็เก็บ ๆ ตอนขาลงมาฝาก)



     ลูกหาบขาลงน้ำหนักเราลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่งของตอนขึ้นมา ขาลง 36 กิโลกรัมได้ เราเดินลงมาถึงด้านล่างประมาณบ่ายโมงก็กินข้าวบริเวณจุดเริ่มเดินขึ้น แล้วก็นั่งรถเจ้าหน้าที่ออกไปที่ที่ทำการ ทำการจ่ายเงินค่าลูกหาบ และค่ายืมอุปกรณ์ด้านบน คืนหมายเลขประจำกลุ่มทิ้งขยะ แล้วก็ทำการอาบน้ำเพิ่มความสดชื่น แล้วก็นั่งรถกระบะที่เราเหมาไว้ตอนขามากับเข้าตัวเมืองพิษณุโลก (นัดกับรถว่ามารับช่วงเที่ยง ไม่เกินบ่าย แต่เราทำทุกอย่างพร้อมก็ปาไปบ่าย 2 นู่นเลย ><") เรามาถึง บขส. พิษณุโลกประมาณ เกือบ ๆ 5 โมงเย็นก็เดินหาตั๋วรถกลับ กทม. ได้ของบริษัท พิษณุโลกยานยนต์ รอบ 17.30 น. ราคา 270 บาท ได้ตั๋วเราก็เดินหาอะไรกินแล้วก็ขึ้นรถกลับ กทม. ถึง กทม. กันก็ประมาณ 5 ทุ่มกว่า ๆ
     รวม ๆ ค่าใช้จ่ายในทริปนี้หารต่อคนแล้ว กลุ่มผมตกประมาณ 2,800 บาทได้ครับ ซึ่งรายละเอียดผมไม่ได้จดไว้ครับต้องขออภัยด้วย โดยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะไปตกกับค่าเดินทางแล้วก็ค่าลูกหาบครับ ขอบคุณสำหรับการติดตามครับผม ไว้โอากาหน้าจะมาเล่าเรื่องการท่องเที่ยวให้ฟังกันใหม่ครับ


อย่าลืมติดตามพวกเราได้ที่ : https://www.facebook.com/PaiiPaLa