Tuesday, February 25, 2020

วิถีเมืองฮิป... IPOH (มาเลเซีย)


ต่อจากปีนัง เรายังคงเที่ยวกับเมืองแห่งศิลปะฮิป ๆ กันได้ต่อไม่ใกล้ ไม่ไกลเพราะเดินทางด้วยรถไฟต่อจากบัตเตอร์เวิร์ธประมาณ 2 ชั่วโมงเราก็จะมาถึงเมืองที่มีความฮิปและสวยงามไม่แพ้ปีนัง นั้นก็คือ Ipoh (อิโปห์) นั้นเอง

แค่มาถึงเดินออกจากสถานีไฟแล้วหันหลังกลับไปมองความสวยงามของสถานีรถไฟก็สุดแล้วครับ เพราะเป็นสถานีรถไฟที่มีความสวยงามมากที่นึงเลยล่ะครับ



 เมืองอิโปห์มีประวัติดั้งเดิมเป็นเมืองที่มีการทำเหมืองแร่ดีบุกครับ เป็นเมืองหลวงของรัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย จากที่เคยเป็นเหมืองแร่ดีบุกทำให้เป็นเมืองนึงที่มีความมั่งคั่งมากครับ อีกทั้งยังมีการติดต่อค้าขายกับยุโรปและชาวจีน ดังนั้นสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ภายในเมืองก็จะออกมาในรูปแบบโคโลเนียลผสมผสานกับจีนประยุกต์นั้นเอง






อีกอย่างที่ขึ้นชื่อมากที่ IPOH ก็คือ White coffee นั้นเองครับ โดยเฉพาะแบรนด์ Old Town ซึ่งจริง ๆ White coffee ไม่ใช่กาแฟสีขาวหรอกนะครับ มันก็เป็นสีเหมือนกาแฟนั้นแหล่ะแต่สีจะอ่อนกว่า ด้วยกรรมวิธีการคั่วเมล็ดกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะนั้นเอง ทำให้ White coffee เป็นที่นิยมกันมากในประเทศมาเลเซียเลยแหล่ะครับ




ถ้าจะแบ่งการท่องเที่ยวในเมืองอิโปห์ ก็อาจจะแบ่งได้เป็นโซนชั้นในของเมือง และรอบนอกเมืองครับ งั้นเราพาเพื่อน ๆ ไปทัวร์กันในโซนนอกเมืองกันก่อนเลยแล้วกันครับ ไปกันด้วย Tourist Bus ครับ

- ส่วนที่น่าสนใจจุดแรกก็จะเป็นวัดถ้ำจีน LING SEN TONG ครับ


- จากนั้นก็ไปดูกันที่ Lost world of TAMBUN ครับ ก็จะเป็นธีมพาร์ค เป็นทั้งสวนน้ำ สวนสนุก รีสอร์ท บลา ๆ เรียกได้ว่าไปที่เดียวครบจบเรื่องเที่ยวไป 1 วันเลยล่ะครับ แต่เรามีเวลาจำกัดก็เลยแต่แค่แวะลงมาดูบรรยากาศไม่ได้เข้าไปเที่ยวด้านในครับ



- มาถึงสถานที่ที่เราสนใจแวะไปเที่ยวกันครับกับปราสาทเคลลี่นั้นเอง ปราสาทแห่งนี้ประวัติก็คือเป็นบ้านของนายวิลเลียม เคลลี่ สมิธ ชาวสก็อตแลนด์นั้นเอง ภายในปราสาทก็มีอยู่หลายชั้น แบ่งเป็นหลาย ๆ ห้องทั้งห้องรับแขก ห้องเก็บของ ห้องลูกชาย ห้องลูกสาว มีชั้นใต้ดินสำหรับเก็บไวน์ อีกทั้งยังมีลิฟท์ด้วย





มีเรื่องเล่ากันว่าบ่อยครั้งที่ Night tour จะสามารถพบเห็นดวงวิญญาณของนายเคลลี่นี่เดินตรวจตราบริเวณชั้น 2 ของปราสาทจนได้ชื่อว่าเป็นปราสาทผีสิงอีกด้วย




หลังจากเที่ยวด้านนอกเมืองกันแล้วก็กลับเข้ามาตัวเมืองอิโปห์กันครับ จริง ๆ ในเมืองก็จะมีย่านที่เป็นเมืองเก่ากับเมืองใหม่แยกกันอยู่ด้วยแม่น้ำ คินตา นั้นเอง

ในเมืองเก่าสิ่งที่น่าสนใจก็จะมีอยู่หลายอย่างครับไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของสภาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องที่สวยสะดุดตาครับ




สถานที่นึกที่เรารู้สึกว่าเฮ้ยแปลกจริงน่าสนใจมาก จากคำบอกเล่าและแนะนำของไกด์บน Tourist Bus แต่เราก็งง ๆ ไปไม่ถูกไกด์เลยอาสาพาเดินไปเลยซึ่งก็อยู่ใจกลางเมืองนั้นแหล่ะ เป็นร้านหนังสือครับ แต่สิ่งที่น่าสนใจเพราะว่ามันไม่ใช่แค่ร้านหนังสือธรรมดา ๆ มันคือร้านหนังสือที่กลายสภาพมาจากธนาคารเก่าครับอยู่ในชั้นใต้ดิน ซึ่งภายในยังคงความเป็นธนาคารอยู่ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นประตูที่เป็นลูกกรอง ลิ้่นชักเก็บของ และส่วนประกอบอื่น ๆ






ไฮไลท์อีกอย่างของอิโปห์ซึ่งเรียกว่าพลาดไม่ได้แน่นอน นั้นก็คือ Street Art นั้นเอง โดยได้ศิลปิน Ernest Zacharevic คนเดียวกับที่วาดสตรีทอาร์ตที่ปีนังจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกมาแล้ว ซึ่งศิลปะที่อิโปห์นี้บอกเลยว่าสวยงาม มีเอกลักษณ์ไม่แพ้ที่ปีนังแน่นอน 




เดินข้ามแม่น้ำคินตามายังฝั่งที่เรียกว่าเมืองใหม่ แต่ก็ยังพบสตรีทอาร์ตอยู่ไม่น้อยครับ แต่ก็มีลักษณ์ที่ค่อนข้างต่างออกไปจากสตรีทอาร์ตในย่านเมืองเก่าอยู่พอสมควรครับ



ในระแวกไม่ไกลออกไปนั้นพบเห็นตึกแถวที่มีความไม่ธรรมดาคือ 7 ตึก 7 สี ครบสีรุ้งเลยครับ



ปิดท้ายกันด้วยอาหารครับ เมืองอิโปห์เป็นเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีอาหารที่อร่อยที่สุดเมืองนึงเลยล่ะครับ เราก็ได้ลองมาแล้วเราชอบข้าวมันไก่ที่สุดครับ ชี้เป้าเลยแล้วกันร้านตามรูปล่างนี้เลยครับ


อิโปห์ก็เป็นเมืองนึงที่น่าเที่ยวครับ เที่ยวเองได้ไม่ยากครับ เดิน ๆ เที่ยวก็ทั่วเมืองแล้วล่ะ เมืองก็สวยงาม อาหารอร่อย สตรีทอาร์ตฮิป ๆ ให้ได้ถ่ายรูปกดชัตเตอร์กันรัว ๆ เลยครับ เพื่อน ๆ คนไหนอยากได้เมืองฮิป ๆ เก็บเข้าลิสต์ก็แนะนำเลยครับ IPOH ประเทศมาเลเซียเพื่อนบ้านของเรานี่เองครับ

Tuesday, February 11, 2020

เมืองหลวงแห่งสตรีทอาร์ต " P E N A N G "


ทริปนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวกับเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งสตรีทอาร์ต นั้นก็คือ ปีนัง ประเทศมาเลเซียนั้นเองครับ การเดินทางไปที่ปีนังก็ง่ายแสนง่ายจะบินตรงไปลงที่ปีนังเลยก็สามารถทำได้ แต่มันจะไม่ค่อยได้วิถีแห่ง Backpacker อย่างผมสักเท่าไหร่ ผมก็เลยเลือกการเดินทางเข้าไปที่ปีนังด้วยรถไฟนั้นเอง แต่ครั้นจะนั่งรถไฟยาวไปตั้งแต่กรุงเทพเลยก็ดันมีเวลาไม่มากพอ ก็เลยขอจบกันคนละครึ่งทางด้วยการบินมาลงที่หาดใหญ่ แล้วค่อยนั่งรถไฟจากหาดใหญ่เข้าไปเที่ยวปีนังอีกต่อนึงแล้วกัน

========================================================================
เริ่มจากจองตั๋วเครื่องบินกันก่อน ผมใช้งานกับเจ้าประจำก็คือ Traveloka นั้นเอง https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-malaysia

ซึ่งปัจจุบันนี้ Traveloka สามารถทำการเช็คอินออนไลน์ได้ทั้งแอพลิเคชั่น หรือ หน้าเวปไซต์ได้แล้ว โดยที่ไม่ต้องไปเสียเวลาไปเช็คอินออนไลน์ที่หน้าเวปไซต์ของสายการบิน อีกต่อไป

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ > https://www.traveloka.com/th-th/checkin

ขั้นตอนก็ง่ายแสนง่ายครับ ทำตามรูปด้านล่างนี้ได้เลย


ซึ่งข้อดีของการเช็คอินออนไลน์กับ Traveloka ก็คือ
- Online Check-in กับ Traveloka มีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่อง
- ช่วยประหยัดเวลา สำหรับคนที่ไม่ต้องโหลดกระเป๋า ก็รอ Boarding Time ได้เลย
- สะดวก และรวดเร็วทันใจ ช่วยทำให้การเดินทางง่ายขึ้นกว่าที่เคย
========================================================================
เอาล่ะ หลังจากจองตั๋วเครื่องบิน พร้อมเช็คอินออนไลน์กับ Traveloka กันแล้ว ก็ออกเดินทางสู่ปีนังกันได้เลย มาเริ่มกันที่ สถานีรถไฟหาดใหญ่ ทำการซื้อตั๋วรถไฟไปยังปลายทาง "ปาดังเบซาร์" ครับ รถไฟมี 2 รอบคือ 7 โมงเช้า กับ บ่าย 2 โมงครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง


จากนั้นก็จะมาถึง ปาดังเบซาร์ จุดนี้ต้องผ่าน ตม. เข้าประเทศมาเลเซียครับ อย่าลืมเล่มหนังสือเดินทางด้วยล่ะ ผ่าน ตม. เข้ามาก็เดินไปซื้อตั๋วรถไฟอีกต่อครับปลายทางที่ บัตเตอร์เวิร์ธ นั้นเอง ใช้เวลานั่งรถไฟอีกประมาณ 2 ชั่วโมงครับ รถไฟฝั่งมาเลเซียจะคลายรถไฟฟ้าบ้านเรา แอร์เย็นสบายครับ


เมื่อมาถึงกันที่บัตเตอร์เวิร์ธการเดินทางของเราก็ยังไม่จบสิ้นครับ จะจบง่าย ๆ มันก็ผิดวิถี Backpacker แบบผมไปสักหน่อย ก็ต้องต่อเรือเฟอร์รี่เพื่อข้ามฟากไปยังฝั่ง จอร์จทาวน์ นั้นเองครับ เรานั่งเฟอร์รี่ประมาณ 15 นาทีก็จะถึงฝั่ง ข้ามฟากในช่วงเวลาเย็น ๆ ก็เห็นวิวพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าสวยงามใช้ได้เลยล่ะครับ



ถึงฝั่งก็เริ่มจะค่ำกันแล้ว แน่นอนว่าท้องก็เริ่มร้องเดินจากท่าเรือเฟอร์รี่เอากระเป๋าไปโยนไว้ที่พักแล้วออกไปหาข้าวกินกันก่อนดีกว่า


แหล่งขายอาหารจริง ๆ ก็มีอยู่ทุกมุมเมืองครับ แต่แหล่งอาหารที่ขึ้นชื่อใคร ๆ มาก็ต้องไปลองกินกันก็คือ Gurney Dive ครับ ร้านอาหารมีให้เลือกเยอะมากครับ ผู้คนก็เยอะเช่นเดียวกัน ทั้งคนท้องถิ่นเองหรือนักท่องเที่ยว ก็ไปเลือก ๆ อาหารมาแล้วก็ถือมานั่งกินที่โต๊ะครับ





ก็หมดไป 1 วัน กลับเข้าที่พักนอนหลับพักผ่อนวันรุ่งขึ้นก็มาลุยกับปีนังกันแบบเต็ม ๆ วันกันเลยครับ เริ่มต้นจากเดินเล่นชมเมือง เนื่องจากที่ปีนังมีผู้คนอยู่อาศัยกันหลากหลายเชื้อชาติครับ ไม่ว่าจะเป็นจีน หรือ แขก เพราะฉะนั้นแน่นอนครับว่าก็มีหลากหลายศาสนาด้วยเช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้ก็อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างลงตัวครับ เราจะสังเกตุได้ว่า วัดจีน วัดแขก ตั้งอยู่ติด ๆ กันเลยล่ะครับ





จากนั้นเราก็เดินตามตรอกซอกซอยในย่าน George Town เนี่ยแหล่ะครับเพื่อถ่ายรูปกับ Street Art ที่มีอยู่ทั่วทุกหัวมุมเลยก็ว่าได้ หรือใครอยากตามล่าเก็บรูป Street Art ที่เด่น ๆ ก็สามารถหาแผนที่แล้วเดินตามไปเก็บได้เลยนะครับ ส่วนตัวผมเน้นความตื่นเต้นครับเดินไปเรื่อย ๆ เจอก็ถือว่าโชคดีครับ ไม่ต้องตามเก็บครบเหมือนรีวิวอื่น ๆ แต่เราก็เก็บไปเรื่อย ๆ ไม่ซ้ำใครครับ








เดินไปเดินมา ก็มาทะลุออกใกล้ ๆ กับบริเวณท่าเรือเฟอร์รี่ที่เราข้ามฟากมาเมื่อวานครับ ที่บริเวณนี้จะมีหมู่บ้านชาวประมงอยู่ชื่อ Jew Jetty ครับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอยู่เหมือนกัน เมื่อเดินผ่านบ้านเรือนชาวประมงบนสะพานไม้ที่ทอดยาวก็จะไปเห็นทะเล ที่สามารถมองข้ามไปยังฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธได้เลยครับ (จริง ๆ ถ้ามาในเวลาเช้า ๆ จะสวยงามมากครับ เห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ด้วย)






นอกจาก Street Art ที่น่าสนใจบนฝาผนัง กำแพงตามมุมต่าง ๆ แล้ว ตึกรามบ้านช่องก็สวยงามไม่แพ้กัน ด้วยสถาปัตยกรรมสไตร์โคโลเนียล ที่ได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่สมัยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ





อย่างที่บอกในช่วงแรกว่าผู้คนที่อยู่อาศัยที่ George Town นั้นก็มีหลายเชื้อชาติทำให้สถาปัตยกรรมก็หลากหลายเช่นกัน เช่นสถาปัตยกรรมแบบจีน ๆ ก็พบเห็นได้ทั่วไป


ต่อกันด้วย Street Art อีกสักหน่อยเพราะเวลายังเหลืออีกพอสมควรเลยครับ






โคโลเนียลไปแล้ว จีนก็ไปแล้ว ยังเหลืออีก 1 ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ อินเดีย ครับที่นี่มี Little India ด้วยนะครับ เดินเข้ามาก็ได้ยินกับเสียงดนตรีที่เปิดกันเป็นเอกลักษณ์เลยล่ะครับ มีทั้งอาหาร ขนม และเสื้อผ้า เครื่องประดับขายกันในย่านนี้ครับ




ตกเย็นเริ่มจะค่ำกันแล้ว ก็มีอีกสถานที่ ๆ ต้องลองแวะไปครับอยู่ถัดออกมาจากเมืองเลย Gurney Dive ที่เราไปกินข้าวกันอีกหน่อย ก็จะมาถึง Penang Avatar Secret Garden ก็คือสวนอวตาลนั้นเอง ภายในบริเวณก็จะมีการจัดไฟในสวนให้บรรยากาศคล้ายกับในหนังอวตาล ที่โด่งดังนั้นเองครับ








ก็จบทริปสำหรับเที่ยวปีนังกันแล้วครับ ด้วยการเที่ยววิถี Backpacker ก็อาจจะใช้เวลากับการเดินทางไปเยอะพอสมควร (ก็เดินทางเกือบ ๆ จะเต็มวัน) แล้วก็เที่ยวกันอีก 1 วันเต็ม ๆ ที่ปีนัง จริง ๆ แล้วยังมีสถานที่ให้เที่ยวอีกเยอะครับที่ปีนังแต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัดก็ได้มาเท่านี้ก็ถือว่าเต็มอิ่มทีเดียวครับ แล้วติดตามต่อตอนต่อไปนะครับ ว่าผมจะพาไปเที่ยวกันต่อที่ไหน...