Tuesday, February 24, 2015

Pai-Pa-La เที่ยวเมืองเก่า กับงบเบา ๆ

     หลายคนบอกว่า อยากเที่ยวแต่เงินก็ไม่ค่อยมี เวลาก็ไม่ค่อยจะว่าง งั้นลองมาดูทริปนี้กันครับ เที่ยวกันแบบประหยัด ๆ ใกล้ ๆ กรุงเทพนี่แหล่ะ

     ทริปนี้เป็นทริปวันเดียวไปเช้า เย็นกลับกับการเที่ยวเมืองเก่า พระนครศรีอยุธยา ครับ
จากที่บอกไว้แล้วว่างบเบา ๆ เพราะงั้นก็ต้องเดินทางด้วยรถไฟครับ ต่อด้วยเช่ารถมอเตอร์ไซด์แว๊นซ์เที่ยวทั่วเกาะกันเลย
เริ่มต้นเดินทางที่หัวลำโพงด้วยรถไฟ จากที่ผมตั้งใจว่าจะขึ้นรถไฟรอบ 8.20 น. แต่ไปถึงหัวลำโพง 8.25 น. เจ้าหน้าที่บอกรถออกไปแล้ว รอบต่อไป (ขบวน 201 กรุงเทพ – พิษณุโลก) 9.25 น. เป็นรอบรถไฟฟรีด้วย ก็ตกลง แต่ !!! กว่าล้อจะหมุน 10.05 น.

     รถไฟวิ่งมาถึงชุมทางบางซื่อ เวลาประมาณ 10.30 น. รถจอดอีกประมาณ 20 นาที เพื่อรอขบวนด่วนไปก่อน (ขบวน 71 กรุงเทพ – ศรีสะเกษ ซึ่งออกจากหัวลำโพง 10.05 น. ตามกำหนด) มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาบอกว่า ใครจะไปอยุธยา เปลี่ยนไปขบวน 71 ได้นะ ลงไปซื้อตั๋ว 20 บาทเพราะจะไปถึงก่อน ผมก็เลยตัดสินใจ เปลี่ยนขบวนก็ได้ แค่นั่งบนรถไฟเฉย ๆ ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมงกว่าแล้วยังไม่ถึงไหนเลย ความคลาสสิคสุด ๆ ของรถไฟไทย ><”

     รถไฟวิ่งมาจะถึงสถานีรังสิต มีเสียงลมฟรี้ดดดดดดดดดดดดดด ดังมาก สักพักหนึ่งขบวนรถก็จอด ทุกคนบนขบวนต่างงงกันว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงตอบกลับมาว่ารถไฟยางแตก ฮ่า ๆ ๆ (จริง ๆ แล้วคืออุปกรณ์อะไรสักอย่างเกี่ยวกับการเปิด - ปิดประตู ทำให้ประตูตู้ที่ผมยืนมานั้นเปิดไม่ได้ ต้องเดินไปลงตู้อื่น)


     และแล้วก็มาถึงอยุธยาสักที เวลาที่มาถึงก็เที่ยงวันแล้ว (นั่งตั้งกะ 9.25 น. เวลาที่ควรจะถึงต้อง 11 โมงกว่า ๆ ช่างคลาสสิคจริง ๆ รถไฟไทย)



     มาถึงก็เดินหาร้านเช่ามอเตอร์ไซด์เลย อยู่ไม่ไกลเดินออกมาจากสถานีรถไฟ ข้ามถนนก็เจอแล้ว ราคาวันละ 150 บาท พร้อมน้ำมันเต็มถัง ตอนคืนรถก็ต้องไปเติมน้ำมันกลับมาให้เต็มถัง (คืนก่อน 18.00 น.) หรือใครชอบปั่นจักรยานก็เช่าจักรยานปั่นได้ หรือจะนั่งเรือข้ามฟากไปเช่าจักรยานอีกฝั่งนึงก็มีเหมือนกัน (ค่าเรือข้ามฟาก 5 บาท)

     ได้รถมอเตอร์ไซด์ปุ๊ป ก็ออกซิ่งเลยด้วยความหิวเลยมุ่งตรงไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล เป็นวัดแรก เพราะถามจากร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ว่าที่ไหนมีก๋วยเตี๋ยวเรือกิน เจ้าของร้านบอกหน้าวัดใหญ่มี อ้อ ตอนเช่ารถทางร้านจะให้แผนที่มาพร้อมกับอธิบายเส้นทางให้ด้วย








     จากนั้นก็ซิ่งข้ามฟากไปยังวัดโลกยสุธาราม วัดนี้จะมีพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) องค์ใหญ่ที่สุดในอยุธยา




     ซิ่งต่อข้ามแม่น้ำมาอีกฝั่งหนึ่งมาที่วัดไชยวัฒนาราม (วัดนี้เสียค่าเข้าชม 10 บาท สำหรับคนไทย) วัดนี้ ยอดเจดีย์และยอดปรางค์สวยมาก บริเวณกว้างขวาง แต่แดดก็ร้อนมากเช่นกัน








     ขับกลับเข้ามาในเกาะ ไปยังวัดพระศรีสรรเพชญ์ (วัดนี้เสียค่าเข้าชม 10 บาท สำหรับคนไทย) วัดนี้จะมีเจดีย์ 3 องค์ที่สวยงามเป็นไฮไลท์




     บริเวณในเกาะนี้ จะมีวัดต่าง ๆ มากมายเลย ทำให้ผมขับหลงเหมือนกันเพราะมองไปทางไหนก็คล้าย ๆ กันไปหมด ไม่รู้วัดไหนเป็นวัดไหน ขับผ่านแล้วยังไม่รู้เลยว่าเป้นวัดที่จะไป ฮ่า ๆ ๆ แล้วยังมีช้างเดินอยู่ตามถนนค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นช้างที่ให้นักท่องเที่ยวนั่งชมเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป้นชาวต่างชาติที่นั่งช้างชมเมือง

     วัดสุดท้ายที่ผมไปคือวัดมหาธาตุ (วัดนี้เสียค่าเข้าชม 10 บาท สำหรับคนไทย) วัดนี้มีไฮไลท์คือเศียรพระในรากต้นโพธิ์ วันที่ผมไปมีคณะทัวร์ไปค่อยข้างเยอะ ทั้งฝรั่ง ทั้งจีน และที่เยอะไม่แพ้กันคือญี่ปุ่น ผมถ่ายรูปอยู่แถวเศียรพระอยู่ได้ยินเสียคนญี่ปุ่นเข้ามาเห็นต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ซุโก้ย !!!”






     
     ออกจากวัดก็ห้าโมงเย็นกว่า ๆ แล้วก็ไปแวะซื้อโรตีสายไหมสักหน่อยของขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งแถวโรงพยาบาล จะมีร้านโรตีสายไหมเยอะมาก ก็เลือก ๆ ซื้อกันได้เลย จากนั้นก็ซิ่งไปเติมน้ำมันแล้วก็คืนรถ แล้วก็ไปรับตั๋วรถไฟกลับกรุงเทพรอบ 18.47 น. รอบนี้รถไฟฟรี
สรุปค่าใช้จ่าย
-           รถไฟ 40 บาท
-           อาหารกลางวัน 120 บาท
-           ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซด์ 150 บาท
-           ค่าน้ำมัน 28 บาท
-           ค่าเข้าวัด 60 บาท
-           ค่าน้ำ + ขนม 100 บาท (ช่วงรอรถไฟ เดินออกจากสถานีรถไฟ ข้ามถนนเดินไปทาง Lotus express แถวนั้นมีร้านขายก๋วยเตี๋ยว ขนม นม น้ำ เยอะพอสมควร)
รวมค่าใช้จ่าย 498 บาท หาร 2 คนก็ 249 บาท จบทริปสั้น ๆ งบเบา ๆ ครับ

     ขอบคุณที่ติดตามมาจนจบครับ
ติดตามพวกเราต่อได้ที่  https://www.facebook.com/PaiiPaLa
หรือ twitter : @PaiPaLaa

Sunday, February 8, 2015

เมื่อ Backpacker สองคนอยากยลพญาเสือโคร่ง

สวัสดีคร๊าฟฟฟ ก็ไม่ต้องสาธยายอะไรมากครับ ชื่อกระทู้ก็บอกอยู่แล้วครับเพราะกระทู้รีวิวนี้ เราจะมากล่าวคำอำลา “ดอกพญาเสือโคร่ง” และต้อนรับเดือนแห่งสีชมพูกัน โดยผมและเพื่อนเดินทางไปชมดอกพญาเสือโคร่งช่วงวันที่ 24-26 มกราคมที่ผ่านมาครับ
           ด้วยความที่เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนเริ่มทริป อยากไปชมพญาเสือโคร่ง อันลือชื่อ ในความสวยงามน่ามองเป็นยิ่งนักจึงเกิดทริปนี้ขึ้นครับ

แผนการก่อนเริ่มทริปแบบคร่าวๆ

            - กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-ขุนแม่ยะ-อช.ห้วยน้ำดัง-ปาย-เชียงใหม่-ขุนช่างเคี่ยน-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ
            - นั่งรถทัวร์ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ลงอาเขตแล้วต่อรถตู้ เชียงใหม่ - ปาย แล้วขอลงกลางทางที่ด่านตรวจดอยแม่ยะครับ
            - หารถเหมาขึ้นไปบน ดอยแม่ยะ เพื่อยลพญาเสือโคร่ง เป้าหมายหลักของทริปนี้
            - โบกรถจากด่านแม่ยะไปลงปากทางอช. ห้วยน้ำดัง
            - โบกรถจากปากทางอช.ห้วยน้ำดังขึ้นสู่ จุดชมวิว แล้วพักที่นี่ครับ
            - วันถัดมาโบกรถลงจาก อช. ห้วยน้ำดัง เป้าหมายคือเข้าปายครับ
            - ขึ้นรถตู้กลับเชียงใหม่ หลังจากนี่ เช่ามอเตอร์ไซค์ ล่อนทั่วเมือง แล้วกลับกรุงเทพฯ ค่ำวันจันทร์ครับ

แล้วเรามาดูกันครับว่าจะแผนทั้งหมดที่ถูกวางไปก่อนไปจะเป็นไปตามที่ ผมและเพื่อนได้วางแผนไว้รึเปล่า ... ?



เริ่มด้วยสถานที่แรกครับ ขุนแม่ยะ


    ด่านตรวจแม่ยะอยู่ระหว่าง เส้นทางเชียงใหม่ (ฝาง) ถึง ปาย หรือ เส้น 1095 อันชวนคลื่นไส้นั่นแหละครับ โดยการที่จะขึ้นไปบนดอย ก็ต้องใช้รถกระบะขึ้นไปเท่านั้น ฝ่าดินแดง และฝุ่นตลบอบอวลระยะทางประมาณ 8 กิโลฯ ก็จะถึง หน่วยจัดการต้นน้ำขุนแม่ยะ สถานที่ที่เราจะไปกันแล้วล่ะครับ …
    โดยเราหารถกระบะที่มีพี่อีก 4 คนเหมารถอยู่แล้ว ก็ขอแจมตามระเบียบ ก็ต้องขอขอบคุณที่ทหารที่ด่านที่ใจดีช่วยจัดหาให้ครับ ก็ได้ราคาตกคนละ 200 บาทไทย 












     หลังจากถ่ายรูปจนอิ่มหนำสำราญกันแล้วก็ ถึงเวลากลับลงมาที่ด่านตรวจแม่ยะ เพื่อหารถไป อช.ห้วยน้ำดัง จุดๆ นี้หารถโบกง่ายครับ เพราะมีพี่ ตำรวจและทหารคอยช่วยเหลือ และระยะทางระหว่าง ด่านตรวจ จนถึง อช. ห้วยน้ำดังห่างกันเพียงแค่ 2 กิโลเมตร เท่านั้น และหลังจากนั้นก็มาขอติดรถนักท่องเที่ยวขึ้นอช. ห้วยน้ำดังต่อไปครับ


ตัดภาพมาที่ อช. ห้วยน้ำดังครับ แว้บบบบบบบบบบ ...

    อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เป็นสถานที่ชมทะเลหมอก และพระอาทิตย์ขึ้นที่เรียกได้ว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ด้วยวิวที่เห็นดอยหลวงเชียงดาวแบบชัดเจน ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับทิวทัศน์อย่างยิ่งครับ บน อช. ห้วยน้ำดังก็มี ดอกพญาเสือโคร่ง นางเอกของทริปนี้ขึ้นอยู่ประปรายครับ แต่นาง ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของที่แห่งนี้ครับ เพราะที่แห่งนี้มี …

     วิวแบบนี้



    วิวพระอาทิตย์ตกแบบนี้





     
     และทะเลหมอกในยามเช้าแบบนี้ครับ ท่านผู้ช๊มมมมมม





     Panorama


สำหรับประสบการณ์บน ห้วยน้ำดัง เรียกว่ามีทั้งหลายที่สุดครับ 
    - อาบน้ำเย็นที่สุดในชีวิตครับ เรียกว่าน้ำที่นี่พิเศษครับ ผ่านการแช่ช่อง Freeze มาอย่างดีก่อนให้นักท่องเที่ยวอาบครับ น้ำโดนตัวนี่ ชาไปทั้งตัวเลยทีเดียว บรึ๋ยยยย 
    - การดูดาวสวยที่สุดในชีวิตครับ ด้วยความโชคดีของทริปนี้ครับ ทริปนี้ฟ้าใสตลอดทริป (ปกติไปไหนฟ้าก็ปิดบ้าง เปิดไม่เต็มบ้าง) ทำให้ครั้งนี้ได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้ามากมายยยย โอ้ย มันสวยครับ
    - ทะเลหมอกที่สวยที่สุดครับ โอ้ยสุดจะบรรยาย ดูทะเลหมอกไป กินมันเผาไปเรียกว่าฟิน ฮาาาา

และเหตุการณ์ต่อจากนี้คือเราต้องเดินกลับไปเก็บเต้นท์ที่จุดกางเต้นท์ครับ เพื่อจะหาติดรถลงจาก จุดกางเต้นท์กลับไปยังปากทางห้วยน้ำดัง และนี่คือจุดที่ยากที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้ครับ เพราะเราต้องหาโบกรถเข้า อำเภอปาย ซึ่งนับว่าเป็นระยะทางที่ไกลที่สุดสำหรับการโบกรถในทริปนี้ครับ (ประมาณ 30 กิโลเมตร) สำหรับการลงไปยังปากทางก็ไม่ได้ยากมากครับ ระหว่างเดินลงมาเรื่อยๆ (ระหว่างทางก็มีเถียงกันประปรายครับ ว่าจะรอโบกตรงไหนดี) มีพี่กระบะมาจอดเทียบข้างๆ และเปิดกระจกถามครับ 

ผมและเพื่อน: พี่จะไปไหนครับ
พี่รถกระบะ: ปากทาง ไปมั้ย ไปโดดมาเล้ยยยย
ผมและเพื่อน: ขอบคุณคร๊าฟฟฟฟฟฟ

    รออะไรล่ะครับ ขึ้นสิครับขึ้น แล้วเราก็โดดขึ้นกระบะที่เต็มไปด้วยของที่พวกพี่เค้ามากางเต้นท์ เต็มกระบะ ฮ่าาาา หลังจากลงรถก็ขอบคุณพี่เค้าตามระเบียบครับ
    แล้วก็ถึงจุดยากที่สุดครับ ปากทางห้วยน้ำดังถึงปาย โดยจะขอติดรถกระบะที่ผ่านมา ไปลงที่ด่านตรวจแม่ยะ ก่อน เพราะน่าจะหารถไปง่ายกว่าตรงหน้าปากทางห้วยน้ำดังมาก และน่าจะมีผู้ใจดีรับขึ้นรถได้ง่ายยิ่งขึ้น แผนสำรองของเราคือถ้ามันหารถโบกไม่ได้จริงๆ ก็จะเรียกรถตู้จากปายมารับ แต่แผนแรกยังคงเป็นแผนหลักที่เราต้องยึดครับ นั่นคือหาโบกรถเข้าปาย ก็เดินเลาะๆ ทางไปเรื่อยๆ หาจุดที่รถพอ จะจอดรับเราได้ ไม่เกิน 10 นาทีผ่านไป สวรรค์ก็ส่งผู้ใจดีมาโปรด โบกครับโบก แล้วพี่เค้าก็เลี้ยวเข้ามาจอดทันที

ผมและเพื่อน: พี่ครับๆ ติดรถไปลงด่านตรวจแม่ยะได้มั้ยครับ
พี่รถกระบะ: ไปขึ้นมา
ผมและเพื่อน: ขอบคุณคร๊าฟฟฟฟฟฟ

ชั่วอึดใจ ชะแว้บ… ถึงด่านตรวจแม่ยะ ระหว่างลงจากรถมาเพื่อขอบคุณพี่เค้า 

ผมและเพื่อน: ขอบคุณคร๊าฟฟฟฟฟฟ
พี่รถกระบะ: จะไปไหนกันล่ะ พี่เข้าปายไปด้วยกันไหม ?
ผมและเพื่อน: ครับ ผมก็จะเข้าปาย
พี่รถกระบะ: งั้นขึ้นมาเลยยยย พี่ยาวเข้าปายเลย 

    นี่แหละครับ สวรรค์ส่งผู้ใจดีมาโปรดของจริง จากสิ่งที่ว่ายากที่สุดก็กลายเป็นง่ายที่สุด
แถมระหว่างทางยังตะโกนถาม ให้พี่ไปส่งในเมืองปายเลยมั้ย พวกผมก็บอกเอาที่พี่ผ่านก็พอครับ พี่เค้าก็บอกงั้นลง ปั้ม ปตท. ละกันนะ สำหรับพวกผมแค่นี้ก็ซึ้งน้ำใจมากมายมหาศาล ยากจะหาคำใดมาเปรียบแล้วล่ะครับ

ผมทั้งสองคนต้องขอขอบคุณพี่ๆ รถกระบะทั้ง 4 คันมา ณ ที่นี้ และพิเศษที่สุดสำหรับพี่คนสุดท้าย รวมถึงครอบครัวพี่ ที่ใจดีให้ คนแปลกหน้า ที่โบกรถระหว่างทางติดกระบะมา ณ จุดหมาย ขอบคุณมากจริงๆ อีกครั้งครับ

    และแล้วก็มาถึงปายครับเวลาประมาณเที่ยงครับ ผมกับเพื่อนก็ ตัดสินใจเช่ารถมอเตอร์ไซค์ กับราคา 100 บาทไทยต่อวัน ไม่รวมน้ำมันครับ โดยจองรถตู้รอบ 16:30 ไว้ เพราะฉะนั้นเรามีเวลาเที่ยวประมาณ 4 ชม.โดยประมาณ ครับ ก็ไปเที่ยว หมู่บ้านสันติชล (ใจอยากแวะวัดน้ำฮูครับ แต่วัดมีงาน คนเยอะมากคงไม่สะดวกที่จะเข้าไป) แวะทานอาหารร้านน้องเบียร์ครับ ข้าวซอยอร่อยใช้ได้เลยครับ สะพานประวัติศาสตร์ ไร่สตรอเบอร์รี่ Coffee in Love วัดหลวง แล้วก็ถึงเวลากลับเข้าเชียงใหม่ครับ การเดินทางโดยรถตู้ ระหว่าง ปาย- เชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง รถตู้จะหยุดแวะกลางทาง 1 รอบครับ ค่าโดยสารคนละ 150 บาทไทยครับ

     หมู่บ้านสันติชล






      สะพานประวัติศาสตร์ 





     วัดหลวง



ตัดภาพมาที่เช้าอีกวันเลยดีกว่าครับ เช้าวันนี้แผนจาก กรุงเทพฯ ของเราคือ ไปขุนช่างเคี่ยนครับ โดยจะเช่ามอเตอร์ไซค์ วันนี้อาจจะไม่ได้เรียกว่า Backpack ครับ เพราะเรามียานพาหนะ แม้มันจะชวนเมื่อย ตูด ก็เถอะ

    ผมกับเพื่อนก็คุยกันครับว่าจะเอาไงกับวันนี้ดี โดยเราตื่นกันประมาณ 9 โมง เข้าไปสืบ กรุ๊ป ดอกพญาเสือโคร่งในเฟสบุ้คครับ (https://www.facebook.com/groups/144831245670360/ ขอบคุณข้อมูลของทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ครับ) ก็เห็นว่าวันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม นั้นขุนช่างเคี่ยนมันเลยโรยแล้วล่ะ ก็เกิดความคิดเปลี่ยนแผน แล้วมันมีที่ไหนอีกล่ะ ตัวเลือกของ เราก็มี ดอยผาตั้ง ขุนวาง และ แม่ตะมาน สันป่าเกี๊ยะ โดยถ้าเราไปทางอินทนนท์ เรามีสิทธิ์ได้ไปทั้ง ดอยผาตั้ง และ ขุนวางครับ เราเลยเลือก ที่จะไป ดอยอินทนนท์กัน ก็เช่ารถมอเตอร์ไซค์ครับ ด้วยราคา 200 บาทไทยต่อวัน โดยที่ต้องคืนมอเตอร์ไซค์ก่อน 18:00 เพราะร้านปิดเวลานั้น เรียกว่าแผนนี้ทำเอาเรา 2 คน ห้ามมี ข้อผิดพลาดใดๆก็ตาม ต้องตามแผนเป้ะๆ ไม่งั้น … กลับรถทัวร์กรุงเทพฯ ไม่ทันรอบที่จองไว้ 20:30 เป็นแน่

ก็ขับมอเตอร์ไซค์กันมาครับ เรียกว่า หน้าชาเลยครับ กลับมากรุงเทพฯ หน้าผมนี่ดำเป็นกรอบแว่นเลย -_-’’

ก็แว้บบบ มาถึงดอยอินทนนท์ครับ ก็คุยกับพี่เจ้าหน้าที่ พี่ท่านก็บอกว่า ไปดอยผาตั้ง โลด โรยแล้ว แต่น้อยกว่าขุนวางซึ่งเริ่มโรยเยอะแล้ว ก็จัดสิครับบบบ แว้นต่อเนื่อง … ยาววววววไปจนถึงด่านตรวจ ดอยอินทนนท์ที่ 2 (ครับ อ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านที่เคยไปดอยผาตั้งมาแล้วน่าจะเดาออก) 
ผมและเพื่อน: ดอยผาตั้งอีกไกลมั้ยครับ
พี่เจ้าหน้าที่: เลยมาแล้ว ขับกลับลงไปประมาณ 7 กิโลฯ
ผมและเพื่อน: O_o

เงิบบบบ กันไปครับ ก็แว้นซ์ลงมาต่อเพื่อไปเป้าหมายที่แท้จริงของเรา ก็มาถึงจุดหมายของเราครับ


     พระตำหนักผาตั้ง









     และแล้วที่เที่ยวสุดท้ายของผมกับเพื่อนครับ น้ำตกวชิรธารครับ แล้วก็แว้นซ์กลับเข้าเมืองเรียกว่าหน้าแห้ง หน้าชา ทันเวลาคืนรถพอดิบพอดี



และวีดีโอนี้เป็นสิ่งที่ผมและเพื่อนเดินทางผ่านไปตลอดทริปนี้ครับ





สรุปค่าใช้จ่าย (ราคาสำหรับ 2 ท่าน)
    - ค่ารถทัวร์ไปกลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 2,259 บาท
    - ค่ารถตู้ไปกลับ เชียงใหม่-ปาย 600 บาท
    - ค่ารถขึ้นดอยแม่ยะ 400 บาท
    - ค่าเข้าอช. ห้วยน้ำดัง 40 บาท
    - ค่ากางเต้นท์บน อช. ห้วยน้ำดัง 60 บาท
    - ค่าอาหาร น้ำตลอดทริป 1,060 บาท
    - ค่าน้ำมันมอเตอร์ไซค์ ตลอดทริป 190 บาท
    - ค่ารถแดงในเมือง 250 บาท
    - ค่าเข้าดอยอินทนน์ 2 คน รวมยานพาหนะ 100 บาท
    - ค่าที่พักในเมือง 700 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 5,659 บาท ตกคนละ 2,829.50 บาท

ฝากติดตามพวกเราได้ที่ 
Facebook : https://www.facebook.com/PaiiPaLa
Twitter : @PaiPaLaa